แมงกะพรุน หรือ
กะพรุน[1] (
อังกฤษ:
Jellyfish, Medusa) จัดอยู่ในประเภท
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ไฟลัมย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็น
อันดับได้
5 อันดับ (ดูในตาราง)
ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณ
หนวดที่อยู่ด้านล่าง ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย
ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็น
น้ำร้อยละ 94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ใน
ทะเลทุกแห่งทั่วโลก
แมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ใน
อันดับไซโฟซัว แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับ
ไฮโดรซัว อาทิ
แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (
Physalia physalis) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มี
พิษร้ายแรงที่สุดในโลก และ
แมงกะพรุนอิรุคันจิ (
Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับ
คูโบซัว ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกัน
รูปร่าง
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่มีลำตัวโปร่งใส ร่างกายประกอบด้วย
เจลาตินเป็นส่วนใหญ่ สามารถมองเห็นเข้าไปได้ถึงอวัยวะภายใน เป็นสัตว์ที่ไม่มีทั้งสมองหรือหัวใจ
[2] ลำตัวด้านบนของแมงกะพรุนมีลักษณะคล้าย
ร่ม เรียกว่า "เมดูซ่า" ซึ่ง
ศัพท์คำนี้ก็ใช้เป็นอีกชื่อหนึ่งของแมงกะพรุนด้วยเช่นกัน
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วกว่า 505 หรือ 600 ล้านปี
[2][3] มีวงจรชีวิตที่
ขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและ
ไม่อาศัยเพศ
วงจรชีวิต
วงจรชีวิตของแมงกะพรุน
หลังจากผสมพันธุ์แล้ว แมงกะพรุนเมื่อได้ปฏิสนธิแล้ว หลังจากนั้น
ตัวอ่อนจะพัฒนาขึ้นมา มีลักษณะเหมือนขนหรือหนอนตัวเล็ก ๆ มีขนละเอียดรอบตัว เรียกว่า "
ซิเลีย" จากนั้นจะพัฒนาไปเป็น "
พลานูลา" จะคืบคลานไปหาที่ ๆ เหมาะสมเพื่อเกาะและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็น "
โพลิป"
ซึ่งมีสันฐานเหมือนดอกไม้ทะเลขนาดจิ๋ว คือ
มีลำตัวที่เหมือนกับแจกันเกาะอยู่กับวัสดุต่าง ๆ ลำตัวหงายขึ้น
โดยมีหนวดอยู่รอบปากด้านบน ซึ่งแตกต่างไปจากแมงกะพรุนตัวเต็มวัย
เมื่อโพลิปได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และจำเพาะก็จะเกิด
การแตกหน่อซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ซึ่งคือ แมงกะพรุนขนาดเล็กที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จะหลุดและลอยไปตามกระแสน้ำ ที่เรียกว่า "
อีฟีรา"
หรือ "เมดูซ่า" มีลักษณะเหมือนแมงกะพรุนตัวเต็มวัย คือ ลำตัวคว่ำลง
หนวดอยู่ด้านล่าง หากแมงกะพรุนในขั้นนี้ได้รับอาหารที่พอเพียง
อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะเจริญเติบโตกลายเป็นแมงกะพรุนตัวเต็มวัย
เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ต่อไปก็จะเข้าสู่วงจรเหล่านี้ใหม่อีกครั้ง
[1]
พิษ
แมงกะพรุนหลายชนิดมีพิษ โดยบริเวณหนวดและแขนงที่ยื่นรอบปาก เรียกว่า "
มีนีมาโตซีส" หรือเข็มพิษ ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อ หรือทำให้เหยื่อสลบก่อนจับกินเป็นอาหาร ซึ่งโดยมากเป็น
ปลา
และใช้สำหรับป้องกันตัว ปริมาณของนีมาโตซีสอาจมีจำนวนถึง 80,000 เซลล์ ใน 1
ตารางเซนติเมตรเท่านั้น
ภายในนีมาโตซีสนี้เองมีน้ำพิษที่เป็นอันตรายทำให้เกิดอาการคัน เป็นผื่น
บวมแดง เป็นรอยไหม้ ปวดแสบปวดร้อน และเป็นแผลเรื้อรังได้
หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับแมงกะพรุนแต่ละชนิด ในชนิด
Chironex fleckeri ซึ่งเป็นแมงกะพรุนกล่องชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเซลล์เข็มพิษมากถึง 4-5,000,000,000 ล้านเซลล์ ในหนวดทั้งหมด 60 เส้น
[5] [6]
ซึ่งมีผลทางระบบโลหิต โดยไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตเป็นพิษ
และเสียชีวิตลงได้ในระยะเวลาอันสั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
[2]
การจำแนกและคุณลักษณะ
แมงกะพรุนไฟ ที่จัดอยู่ในชั้นไซโฟซัว
โดยทั่วไปแล้ว แมงกะพรุนมีหลาย
ชนิดที่สามารถ
รับประทานได้ โดยชาวประมงจะเก็บจากทะเล และผ่าออกทำการตากแห้งและ
หมักกับ
เกลือ,
สารส้ม และ
โซเดียม[7] ก่อนจะนำออกขาย โดยประกอบอาหารได้หลายประเภท อาทิ
ยำ และเป็นส่วนประกอบสำคัญของ
เย็นตาโฟ ซึ่งแมงกะพรุนชนิดที่รับประทานได้ คือ
แมงกะพรุนหนัง (
Rhopilema spp.) และ
แมงกะพรุนจาน (
Aurelia spp.) ซึ่ง
ชาวจีนมีการรับประทานแมงกะพรุนมาไม่ต่ำกว่า 1,000 ปีแล้ว
คุณค่าทางอาหารของแมงกะพรุน คือ มี
โปรตีนสูงและ
แคลอรีต่ำ เป็นโปรตีนประเภท
คอลลาเจนสามารถรับประทานได้ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคอลลาเจนจากแมงกะพรุนอาจจะมีส่วนรักษา
โรคไขข้ออักเสบ และ
โรคหลอดลมอักเสบ ตลอดจนทำให้
ผิวหนังนุ่มนวลด้วย
[8]
แมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่พบได้ในท้องทะเลทั่วทุกภูมิภาคของโลก
ทั้งส่วนที่หนาวเย็นเป็นน้ำแข็งเช่น มหาสมุทรอาร์กติก หรือในที่ ๆ
ลึกเป็นพัน ๆ เมตรที่แสงสว่างส่องลงไปไม่ถึง
คาดการว่ามีแมงกะพรุนทั้งหมดราว 30,000 ชนิด
แต่ชนิดที่เป็นที่รู้จักกันดีราว 2,000 ชนิด และเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษราว
70 ชนิด ที่มีอันตรายต่อมนุษย์
[2]
ขณะที่แมงกะพรุนชนิดที่มีพิษ จะถูกเรียกรวม ๆ กันว่า
แมงกะพรุนไฟ (
Crysaora spp.) ส่วนใหญ่มีลำตัว
สีแดงหรือ
สีส้ม
จะมีพิษที่บริเวณหนวดที่มีน้ำพิษ ใช้สำหรับเพื่อล่าเหยื่อและป้องกันตัว
สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ถูกต่อยได้
บริเวณที่ถูกต่อยนั้นจะปรากฏรอยคล้ายรอยไหม้เป็นผื่น จากนั้นในอีก 20-30
นาทีต่อมา จะบวมนูนขึ้นเป็นทางยาวตามผิวหนัง ต่อไปจะเกิดเป็นแผลเล็ก ๆ และแตกออกเป็นแผลเรื้อรัง
กล้ามเนื้อเกร็งและบังคับไม่ได้ จุกเสียด หายใจไม่ออก และอาจถึงขั้น
เสียชีวิตได้ ซึ่งสิ่งที่สามารถ
ปฐมพยาบาลพิษของแมงกะพรุนไฟได้เป็นอย่างดี คือ ใบของ
ผักบุ้งทะเล (
Ipomoea pes-caprae) ใช้ร่วมกับ
น้ำส้มสายชูขยี้บริเวณที่ถูกพิษ จะช่วยทุเลาอาการได้ และหากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาจำพวก
แอสไพรินได้ ก่อนจะนำส่ง
สถานพยาบาล[9] หรือการปฐมพยาบาลแบบง่ายที่สุด คือ ใช้
น้ำทะเลราด
บริเวณที่ถูกต่อย เพื่อให้เข็มพิษของแมงกะพรุนนั้นหลุดไป
จากนั้นจึงใช้น้ำส้มสายชูราดลงไป ก็จะทำลายพิษได้ ห้ามใช้น้ำจืดเด็ดขาด
เพราะจะทำให้พิษกระจายตัวและออกมาจากถุงพิษมากขึ้น
[10]
มีสัตว์บางประเภทที่ถูกเรียกว่า แมงกะพรุน เช่นกัน แต่พบอาศัยอยู่ใน
น้ำจืด คือ
แมงกะพรุนน้ำจืด (
Craspedacusta spp.) จัดเป็นแมงกะพรุนขนาดเล็ก พบในแหล่งน้ำจืดของ
สหรัฐอเมริกาและ
ทวีปเอเชีย รวมทั้ง
ประเทศไทยด้วย แต่ถูกจัดให้อยู่ในชั้นไฮโดรซัว
[11]
แมงกะพรุนชนิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ
แมงกะพรุนขนสิงโต (
Cyanea capillata) ที่เมื่อแผ่ออกแล้วอาจมี
ความกว้างได้ถึงเกือบ 3
เมตร และยาวถึง 37 เมตร ปรกติพบใน
อาร์กติก,
มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และ
มหาสมุทรแปซิฟิคเหนือ
อ้างอิง : http://th.wikipedia.org/wiki/